คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3153/2557

โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย แล้วลักเงิน 20,000 บาท ซึ่งอยู่ในกระเป๋าสะพายของผู้เสียหายไป ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วรื้อค้นลิ้นชักพลาสติกที่เชิงบันได โดยเมื่อค้นในลิ้นชักอันบนสุดพบกระเป๋าสะพายและกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก จำเลยก็ดึงออกมาจากลิ้นชักแล้วค้นหาสิ่งของในกระเป๋าสะพายและกระเป๋าสตางค์ดังกล่าว จากนั้นจำเลยเดินขึ้นบันไดไปบนระเบียงชั้นบนของบ้านและค้นหาสิ่งของที่กองเครื่องมือของใช้ที่วางอยู่บนระเบียงเป็นเวลานาน แล้วกลับลงไปรื้อค้นหาสิ่งของที่ลิ้นชักพลาสติกชั้นอื่นทุกลิ้นชัก เห็นได้ว่า จำเลยมีเจตนาค้นหาเงินและของมีค่าอื่นในจุดที่จำเลยคาดว่าผู้เสียหายหรือบุคคลในครอบครัวผู้เสียหายน่าจะเก็บหรือซุกซ่อนไว้ ฟังได้ว่ามีเจตนาค้นหาและประสงค์จะลักเงินของผู้เสียหายไปนั่นเอง ถือว่าจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดและกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเพราะไม่มีเงินที่จะลักอยู่ในกระเป๋าสะพายและจุดรื้อค้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามลักเงินของผู้เสียหาย แต่การกระทำไม่อาจบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ เป็นการพยายามกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตาม ป.อ. มาตรา 335 (8) วรรคแรก ประกอบมาตรา 81

 

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 และให้จำเลยคืนเงิน 20,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 จำคุก 2 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยเข้าไปในบ้านเลขที่ 181 หมู่ที่ 7 ตำบลตะพง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ของนางอนงค์พร ผู้เสียหาย โดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วรื้อค้นสิ่งของในตู้ลิ้นชักพลาสติกที่ตั้งอยู่ใต้ถุนบ้านตรงเชิงบันไดและที่วางไว้ตรงระเบียงบ้านกับค้นกระเป๋าสะพายสีดำของผู้เสียหาย

มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า จำเลยลักลอบเข้าไปที่ใต้ถุนบ้านและขึ้นไปรื้อค้นสิ่งของบนระเบียงชั้นบนของบ้านผู้เสียหายขณะไม่มีบุคคลใดอยู่ที่บ้าน ส่อเจตนาไม่สุจริตอยู่ในตัว ลักษณะการรื้อค้นเห็นได้ชัดเจนว่า จำเลยรื้อค้นลิ้นชักพลาสติกที่เชิงบันไดซึ่งมี 4 ลิ้นชัก โดยเมื่อค้นในลิ้นชักอันบนสุดพบกระเป๋าสะพายสีดำและกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก จำเลยก็ดึงออกมาจากลิ้นชักแล้วค้นหาสิ่งของในกระเป๋าสะพายและกระเป๋าสตางค์ดังกล่าว ต่อจากนั้นจำเลยเดินขึ้นบันไดไปบนระเบียงชั้นบนของบ้านและค้นหาสิ่งของที่กองเครื่องมือของใช้ที่วางอยู่บนระเบียงเป็นเวลานาน แล้วกลับลงไปรื้อค้นหาสิ่งของที่ลิ้นชักพลาสติกชั้นอื่นทุกลิ้นชัก เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาค้นหาเงินและของมีค่าอื่นในจุดที่จำเลยคาดว่าผู้เสียหายหรือบุคคลในครอบครัวผู้เสียหายน่าจะเก็บหรือซุกซ่อนไว้ ที่จำเลยนำสืบอ้างว่าค้นหามีดเพื่อนำไปตัดผักในบ้านมารดาผู้เสียหายฟังไม่ขึ้น เพราะไม่สมเหตุสมผลและขัดกับลักษณะการค้นหาตามที่ปรากฏในภาพดังกล่าว แต่จากภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ปรากฏภาพให้เห็นว่า จำเลยพบธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท 20 ฉบับ ในกระเป๋าสะพายสีดำที่ผู้เสียหายอ้างว่านำธนบัตรมาเก็บไว้แต่อย่างใด จึงยังไม่พอให้ฟังว่าจำเลยเอาธนบัตร 20,000 บาท ของผู้เสียหายไปตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมา แต่พฤติการณ์ในการตรวจค้นหาสิ่งของดังกล่าวฟังได้ว่ามีเจตนาค้นหาและประสงค์จะลักเงินของผู้เสียหายไปนั่นเอง ถือว่าจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดและกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเพราะไม่มีเงินที่จะลักอยู่ในกระเป๋าสะพายและจุดรื้อค้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามลักเงินของผู้เสียหาย แต่การกระทำไม่อาจบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ เป็นการพยายามกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) วรรคแรก ประกอบมาตรา 81 เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาความผิดฐานบุกรุกและปัญหาว่าผู้เสียหายร้องทุกข์ภายในอายุความ 3 เดือน หรือไม่ตามที่โจทก์ฎีกา เพราะไม่ทำให้ผลคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่า แม้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานลักเงินของผู้เสียหายแต่ฟังว่าเป็นการพยายามลักทรัพย์อื่นในเคหสถานของผู้เสียหายและพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลบางส่วน แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานลักเงิน 20,000 บาท หรือพยายามลักเงินดังกล่าวของผู้เสียหาย แต่ก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามลักทรัพย์อื่นในเคหสถานตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาได้ เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องและมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสี่ จึงพิพากษายกฟ้องข้อหาลักทรัพย์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) วรรคแรก ประกอบมาตรา 81 จำคุก 1 ปี คำขอให้คืนเงินที่ลักให้ยก

 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

บทความที่น่าสนใจ

-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่

-ด่ากันทางโทรศัพท์

-ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก

-การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม

-การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

-เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น

-ซื้อที่ดินในหมู่บ้านจัดสรร แล้วไปซื้อที่ดินข้างนอกที่ติดกับหมู่บ้าน
เพื่อเชื่อมที่ดินดังกล่าวเข้ากับที่ดินในหมู่บ้าน

-ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร

-ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม

-ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้

-การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน

-เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร

-การต่อเติมภายหลังปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำ

-คนต่างด้าวก็สามารถครอบครองปรปักษ์ได้

-ผู้รับการให้ด่าว่าผู้ให้ ผู้ให้สามารถเพิกถอนการให้ได้

-ยกที่ดินให้แล้ว แต่มีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้จดทะเบียนผลเป็นอย่างไร

-ด่าว่า จัญไร ถอนการให้ได้

-ฟ้องเรียกค่าขาดกำไร เป็นค่าเสียหายพฤติการณ์พิเศษ

-หนังสือทวงถามส่งไปที่บ้านตามภูมิลำเนาอ้างว่าไม่ได้รับได้หรือไม่

-การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด

-ดูหมิ่นเรียกค่าเสียหายได้เท่าไหร่

-ตั้งใจไปกู้แต่เจ้าหนี้ให้ทำสัญญาขายฝากผลเป็นอย่างไร

-คำมั่นจะให้เช่าเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว

-การโอนสิทธิการเช่าทำได้หรือไม่